ปิ่นอนงค์ตกใจหน้าซีด แต่ยังคงชูหมัดทั้งสองตั้งท่าแม่ไม้มวยไทย ข่มขวัญคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยน้ำเสียงสั่น"อย่าเข้ามานะ หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ไม้งั้นฉันเอาจริงแน่"
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ คำขู่ของหญิงสาวไม่ได้ทำให้คนถูกขู่หยุดอยู่กับที่ กลับทำให้เขายิ่งเว้นระยะห่างจากเธอน้อยลง
"ฉันบอกให้หยุดอยู่ตรงนั้นงัย!"คราวนี้ปิ่นอนงค์เริ่มกวาดตามองหาเครื่องทุ่นแรง แล้วสายตาก็ปะทะเข้ากับโคมไฟที่วางอยู่บนหัวเตียง หากจะให้ดีกว่านั้นแจกันที่ตั้งอยู่ตรงโต้ะอ่านหนังสือก็ไม่เลวนักหากเธอเอื้อมถึง
ชยากรเลิกคิ้วขึ้นสัมผัสได้ถึงความคิดของคนตรงหน้า แต่ยังคงก้าวเข้าหาอย่างสม่ำเสมอ
"เงียบ! แล้วฟัง ปิ่นอนงค์"เขาสั่งเสียงเข้ม"นั่นเธอกำลังคิดอะไร ฉันมีเรื่องต้องคุยและตกลงกับเธอ"
"คุย..คุยอะไร"ปิ่นอนงค์ถามพลัน เรียวขาทั้งสองถอยมายืนอยู่ตรงหัวเตียงข้างโคมไฟเรียบร้อยแล้ว สายตาจ้องมองคนตัวสูงกว่าด้วยท่าที่เตรียมพร้อม ถ้าเขาคิดจะทำอะไร เธอจะฟาดด้วยโคมไฟต่อจากนั้นก็ต่อด้วยแจกันลายสวยบนโต๊ะฝั่งโน้น
ชยากรกอดอกมองคนเจ้าแผนการณ์ด้วยสายตาที่อีกฝ่ายอ่านไม่ออก ถ้าตาไวหน่อยอาจได้เห็นอะไรบางอย่างซ่อนภายใต้ใบหน้าคมไร้ที่ตินั่น แต่อีกฝ่ายสติเตลิดเปิดเปิงไปจนไม่ทันได้สนใจอะไรทั้งสิ้น
"แล้วตกลงเรื่องอะไรล่ะ ก็พูดมาซะทีสิ"
ชยากรยกยิ้มมุมปากก่อนเอ่ย โดยรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาอย่างไร ซึ่งเขาจงใจให้เป็นเช่นนั้น
"เรื่องคืนนี้งัย เธอคิดว่าฉันควรอยู่ข้างล่างหรือข้างบนดี"เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ทำให้อีกฝ่ายคิดลึก ตาคู่คมนั้นคล้ายมีความเจ้าเล่หห์ปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง
แล้วก็ไม่พลาด ปิ่นอนงค์อ้าปากพะงาบๆ กระพริบตามองเขาปริบๆ ยกมือชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างเอารื่อง ก่อนจะพ่นคำด่าออกมายังกับเปิดดิคชินเนอรี่
"อะ อ่ะ ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต ไอ้คนลามก ไอ้ไม่เป็นสุภาพบุรุษ พูดออกมาได้ ใครอยากนอนกับแกกัน ไอ้คนนิสัยไม่ดี ไอ้หา หาแฟนไม่ได้"เธอหยุดแล้วหอบแฮ่กๆ จากนั้นทำท่าจะด่าต่อ พร้อมก้าวถอยหลังเข้าไกล้ประตูทางออกเรื่อยๆ หลงลืมโคมไฟหัวเตียงรวมถึงแจกันบนโต๊ะอ่านหนังสือจนหมดสิ้น
ชยากรยืนกอดอกนิ่ง เบนสายตาไปอีกทาง แสร้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆชัดๆ"ฉันหมายถึงเธอจะนอนบนเตียงข้างบนหรือจะนอนบนฟูกข้างล่าง นั่นเธอคิดไปถึงไหน"
จบคำอธิบายอย่างแจ่มแจ้ง ทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ คนโวยวายในทีแรกเงียบเสียงลงมองเขาตาปริบๆ ก่อนจะเข้าใจทุกอย่าง อย่างแจ่มชัด แต่เธอแอบเห็นความสาแก่ใจในดวงตาคู่คมนั่นชั่วขณะหนึ่ง ถึงกระนั้นก็ยัง...
เพล้งง!
ปิ่นอนงค์เข้าใจในทันทีเลยว่า ไอ้คำว่าหน้าแตกหมอไม่รับเย็บแบบที่สุดถึงที่สุดมันเป็นยังงัย เธอทำหน้าเอ๋อๆส่งยิ้มเจื่อนๆให้ชายหนุ่ม ถึงจะคับคล้ายคับคราว่าตนถูกแกล้งก็ตาม
"โทษที ฉันตกใจไปหน่อย"คนหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ ยกมือขึ้นถูท้ายทอยอย่างเคอะเขิน ก่อนเดินไปยังกระเป๋าใบโตที่วางอยู่ริมผนังแล้วรูดซิบดึงเอาฟูก หมอน ผ้าห่ม ครบเซต แล้วมองไปยังเขาด้วยสีหน้ายังมีความเอียงอายหลงเหลืออยู่ ก่อนว่าขึ้น"ข้างล่างละกัน บังเอิญฉันเตรียมชุดที่นอนมาพอดีเลย แหะๆ"
ชยากรมองด้วยสายตาคาดไม่ถึงว่าแม่ตัวดีจะเตรียมตัวมาพร้อมได้ขนาดนั้น นี่เจ้าตัวคิดว่าเป็นวันแต่งงานหรือวันเข้าค่ายลูกเสือของทางโรงเรียนสมัยเด็กๆกันแน่ เขาทำเพียงพยักหน้ารับรู้พร้อมก้าวไปยังเตียงกว้าง เอนตัวลงนอน หลับตาลงก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วตอบ"ตามใจเธอ"จากนั้นความเพลียก็ทำให้เขาหลับไปอย่างง่ายดายและหลับลึกเสียด้วย
มีเพียงปิ่นอนงค์ที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะปูฟูกนอนตรงส่วนไหนของห้องดี สุดท้ายก็ลากทั้งฟูก หมอน ผ้าห่ม ทิ้งลงข้างเตียงที่มีคนร่างสูงนอนหายใจสม่ำเสมออยู่บนนั้น
บรู๋วววววว
ยังไม่ทันจะล้มตัวนอนเสียงหมาหอนก็ดังขึ้น ทำให้คนคิดว่ากำลังจะได้หลับสบายๆหันซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าตื่น พลันความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวอย่างไม่อาจห้ามได้ เธอนึกถึงคำพูดของอิศยาตอนที่อยู่ในร้านกาแฟวันนั้น
"ฉันเคยได้ยินจากข่าววงใน ว่าการตายของพี่ชายคนโตของตระกูลนี้ไม่ปกติ"
"เขาตายยังงัย"
"เขาว่าพี่ชายคนโตของตระกูลไม่ได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ แต่เป็นการฆาตกรรม"
"ฆาตกรรมงั้นเหรอ"ปิ่นอนงค์พึมพำ สายตากวาดไปทั่วห้องอย่างกล้าๆกลัวๆ"งั้นก็คงจะดุมากสินะ"
บรู๋วววววว
เสียงหอนดังขึ้นได้ถูกจังหวะพอดี คล้ายเป็นการตอบคำถามแทนว่า สิ่งที่กำลังกลัวนั้นมีจริง ทำให้ปิ่นอนงค์สะดุ้งเฮือก คราวนี้เธอไม่สามารถเก็บอาการได้อีก เธอรีบกระโจนขึ้นไปซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงที่มีคนร่างสูงนอนหายใจอย่างสม่ำเสมอ ก่อนเสียงสวดมนต์จะรบกวนให้เขาตื่น
ตาคู่คมลืมขึ้นเห็นว่าผู้บุกรุกคือใคร อีกทั้งยังกำลังพนมมือสวดมนต์แบบผิดๆถูกๆ เนื้อตัวสั่นเทาอยู่ภายใต้ผ้าห่ม เขาจึงร้องถาม
"เป็นอะไร"
"นะโม ตัสสะ ภะคะวะตา อะระหังสัมมา สุปฏิปันโน อิติปิโสภควา อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยนะสาธุๆๆ อิติปิโสภควา สัมพุทธโธ ธัมโม อะระหังสัมมา"ไปที่ชอบ ที่ชอบเถอะนะ สาธุๆ
ผู้บุกรุกไม่ตอบยังคงสวดมนต์แบบผิดๆถูกๆต่อไป จนคนที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยบทสวดมนต์ที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน จับใหล่ทั้งสองข้างของเธอแล้วเขย่าเบาๆ
"ปิ่นอนงค์ หยุด มองฉัน"เขาสั่งเสียงเข้ม
เสียงนั้นพอเรียกสติคนที่กำลังตัวสั่นเทิ้มกลับมาได้บ้าง ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตามองคนเรียก
"ช่วยด้วย"เธอร้อง"ฉันถูกผีหลอก"
"ไม่มีผีที่ไหนทั้งนั้น เงียบซะ"
"แต่เสียงหมาหอนนั่น น่ากลัวมาก แล้วมัน.."
"หยุด แล้วฟังฉัน ห้องนี้ไม่เคยมีผี"ชยากรเน้นเสียงหนัก"แล้วที่น่ากลัวกว่าผี ก็คือเธอ เธอ ที่กำลังทำให้ฉันจะกลายเป็นโรคประสาท แล้วพลั้งเผลอฆ่าใครบางคนในนี้เข้า"เขาพูดมือทั้งสองข้างยังคงจับใหล่เธอไว้แน่น"เพราะฉนั้น ไปนอนซะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน ฆ่าใครซักคนจริงๆ"ปิ่นอนงค์มองตาเขาปริบๆ ในใจนึกกลัวว่าเขาจะฆ่าเธอขึ้นมาจริงๆอย่างที่พูด
"เข้าใจมั้ย"เขาตะคอก
"ขะ เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว"ดูท่าที่น่ากลัวกว่าผีและเธอก็คงจะเป็นเขานี่แหละ คนอะไรดุยิ่งกว่าเสือ
ปิ่นอนงค์คลานลงจากเตียงแทบไม่ทันเมื่อถูกเจ้าของเตียงขู่ฆ่าทางอ้อม เธอลืมเรื่องผี เรื่องเสียงหมาหอนไปโดยอัตโนมัติ ก่อนล้มตัวนอนลงบนฟูกอย่างว่าง่าย แต่กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ปาไปเกือบรุ่งเช้า
ไม่มีวันหยุด ไม่มีฮานีมูน ไม่มีคำว่าข้าวใหม่ปลามัน สำหรับชีวิตแต่งงานของปิ่นอนงค์
ชยากรตื่นก่อนแล้วออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า ปล่อยเธอตื่นขึ้นมาด้วยความเคว้งคว้างในบ้านหลังใหญ่ ก่อนสาวใช้จะมาเคาะประตูแล้วเรียกลงไปรับประทานอาหาร เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเธอเห็นว่าไม่มีใครจึงถือโอกาสเดินชมรอบบ้านแก้เซ็งเล่นๆ ที่จริงปิ่นอนงค์อยากจะเรียกมันว่าคฤหาสน์มากกว่า
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงปิ่นอนงค์ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดยังหน้าบ้าน เธอกำลังจะออกจากบริเวณสวนหลังบ้านเพื่อไปดูสักหน่อยว่าใครมา แต่ขาเจ้ากรรมดันไปสะดุดกิ่งไม้ที่วางขวางอยู่เสียก่อน ทำให้เธอล้มลงข้างพุ่มไม้แบบพอดิบพอดี ขณะกำลังจะพยุงตัวลุก เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
"ตำรวจไม่มีทางสาวมาถึงตัวเราได้แน่นอนครับ เพราะพวกนั้นตายในห้องขังกันหมดแล้ว"
บทสนทนานั้นทำให้ปิ่นอนงค์ยอบตัวลงแล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
เจ้าของเสียงที่กำลังคุยโทรศัพย์อยู่คือลุงแก่ๆวัยประมาณห้าสิบกว่าๆเห็นจะได้ ปิ่นอนงค์ไม่มั่นใจว่าเขาทำงานอยู่ที่บ้านหลังนี้หรือเปล่า เพราะเธอยังไม่รู้จักใครสักคน นอกจากคุณหญิงกิ่งกรองแล้วก็คุณกมลทิพย์ ส่วนคนใช้ก็พึ่งจะได้คุยด้วยแค่คนเดียว คือผักกาด คนที่ขึ้นมาเรียกเธอลงไปทานข้าวเมื่อเช้านี้
"ได้ครับ ผมจะสืบให้ว่ามันเป็นใคร"
บทสนทนายังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ปิ่นอนงค์นิ่งฟังด้วยหัวใจที่เต้นรัว เธอนึกถึงคำพูดของอิศยา
'บ้านเศรษฐีน่ะ น่ากลัว'
เห็นจะจริงอย่างที่อิศยาว่า และประโยคถัดไปที่ได้ยินลุงคนนั้นพูด ทำเอาปิ่นอนงค์ขนลุกไปทั้งตัว
"งั้น ผมจะได้ส่งมันลงหลุม ตามคุณชลินธรไปซะ"
บทสนทนาสุดท้ายจบลง ปิ่นอนงค์เห็นลุงคนนั้นยิ้มเหี้ยม ก่อนกดปุ่มวางสาย
รมรุจีวางโทรศัพย์ ด้วยแววตาบางอย่างที่ไม่เคยปรากฏแก่ใคร ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นบุตรชายคนเดียวกำลังเดินเข้ามาภายในบ้าน
คนเป็นแม่มองบุตรชายคนเดียวอย่างอารมณ์ดีแล้วเอ่ยเรียก"มานี่สิตากร แม่มีเรื่องจะคุยด้วยพอดีเลย"
ชยากรเดินเข้าไปนั่งข้างๆมารดาอย่างว่าง่าย"มีอะไรครับ คุณแม่"
มือเหี่ยวย่นเล็กน้อยเอื้อมไปกุมมือบุตรชายไว้อย่างรักใคร่แล้วพูดขึ้น"แม่อยากให้กรรับคำเชิญไปงานเลี้ยงแทนแม่หน่อย"
"ทำไมครับ"ชยากรถาม
"พอดีว่าเมื่อกี้ คุณพริ้มเพราโทรสายตรงเข้ามาเชิญไปงานเปิดตัวบริษัทใหม่ แต่แม่รับนัดคุณอำพันธ์ไว้แล้ว ถ้าจะยกเลิกนัดก็เกรงใจ เพราะเวลาทางเรามีงานฝ่ายโน้นก็ไม่เคยปฏิเสธคำเชิญเลยสักครั้ง เลยอยากจะขอความช่วยเหลือจากกร"
ชยากรนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ที่จริงเขาไม่ชอบออกงานนักเพราะเบื่อสังคมไฮโซที่เต็มไปด้วยผู้คนสวมหน้ากาก เบื้องหน้ายิ้มให้แต่มือข้างหลังซ่อนมีด แต่ครั้งนี้เห็นแก่มารดา เขาจึงพยักหน้าตกลง"ได้ครับแม่"
รมรุจียิ้มขอบคุณโอบใหล่บุตรชายไว้อย่างโล่งใจกับอะไรบางอย่าง
ชยากรขอตัวไปทำงานที่ค้างไว้จากเมื่อคืน เขาลุกขึ้นยืน สายตากวาดมองไปรอบๆคล้ายหาใครบางคน ก่อนถอดสูทชั้นนอกพาดไว้บนแขนอีกข้างจากนั้นจึงเดินขึ้นไปชั้นบน
ทันทีที่หลบออกจากที่ซ่อนได้ ปื่นอนงค์รีบเดินออกไปจากตรงนั้น พร้อมคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในหัว
ผู้ชายคนนั้นมีอะไรเกี่ยวข้องกับบ้านหลังนี้ แล้วคนที่อยู่ปลายสายนั่นเป็นใคร มีเหตุผลอะไรที่จะต้องสั่งฆ่า ใครอีกคนที่กำลังถูกตามเก็บอยู่ที่ไหน ปิ่นอนงค์พยายามคิดหาคำตอบ แต่ทุกอย่างยังดูมืดไปหมด
ชีวิตแต่งงานคืนที่สองของปิ่นอนงค์ช่างเต็มไปด้วยความกดดัน ไม่ว่าจะยืน เดิน นอน นั่ง ก็ไม่สดวกใจทั้งนั้น ทั้งที่คนร่วมห้องก็ไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย ทำยังกับเธอเป็นเพียงฝุ่นละอองเล็กๆล่องลอยอยู่กลางอากาศอยากจะถามจริงๆว่าจะแต่งเธอเข้ามาเกะกะห้องทำไม
'ที่จริงมันก็ดีนะ ที่เขาไม่คิดจะทำอะไรเธอ แต่เธอแค่สงสัย เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ไม่มีความหวั่นไหวเลยหรืองัย'
ปิ่นอนงค์มองคนร่างสูงในชุดนอนสีเทาเป็นพักๆ คล้ายอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ยังดูลังเลไม่กล้า
ในขณะที่คนถูกสงสัยจะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย เขาปลายตามองคนที่กำลังเท้าคางนั่งเลื่อนหน้าจอโทรศัพย์ไปมาแบบเซ็งๆอยู่บนโซฟา และส่งสายตามายังเขาหลายครั้ง
"มีอะไร"ชยากรถาม โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตามอง สายตายังจับจ้องอยู่บนหน้าจอโน้ตบุคอย่างสนใจ
ปิ่นอนงค์ทำหน้างงๆเหมือนกับสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอมีอะไรในใจ ก่อนคนถูกสงสัยแล้วสงสัยอีกจะเงยหน้าขึ้นแล้วถาม
"ฉันถามว่ามีอะไร"เขาย้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งพูด เธอจะได้เลิกมองเขาแล้วมองเขาอีกเสียที
"เอ่อ..."ปิ่นอนงค์อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจถาม"ทำไมคุณถึงยอมแต่งงานกับฉัน ทั้งที่คุณไม่ได้..."เธอหยุดอยู่แค่นั้นรู้สึกลำบากใจที่จะพูด ชยากรไม่รอฟัง เขารีบตอบ
"ฉันแค่ทำตามความต้องการของคุณย่า เพื่อให้ท่านสบายใจ"
"แล้ว.."
"ไม่ต้องห่วงเรืองนั้น เพราะฉันไม่ได้อยากแตะต้องตัวเธอ"
เพล้งง!
วาจานั้นเหมือนเน้นย้ำให้เกิดรู้สึกหน้าแตกอีกรอบ
'พูดแบบนี้เอามีดมาแทงกันเลยดีกว่า ถึงเธอไม่ได้อยากให้เขาแตะต้อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากฟังอะไรห้วนๆแบบนั้นเสียหน่อย จะพูดให้มันถนอมน้ำใจกันมากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรืองัย'
ถึงในใจจะรู้สึกเคืองนิดๆแต่ปิ่นอนงค์ก็ยังอุตส่าห์เอ่ยขอบคุณเขาเบาๆ
แต่คำตอบที่ได้กลับมา
"ไม่เป็นไร เพราะเรื่องนั้น ฉันไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรเลย"
คำพูดนั้นสะดุดหูปิ่นอนงค์อีกรอบ เธอมีปฏิกิริยานิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มให้เขาแบบขมขื่นที่สุด นึกขอบคุณเขาจริงๆที่อุตส่าห์บอกว่าเธอมันไร้เสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามมากแค่ไหน
เธอมันไม่มีเสน่ห์เล้ยย ไม่มี พูดแบบนี้ไม่คิดจะคืนดีแล้วยังหวังตั้งตัวเป็นศัตรูกันชัดๆ ได้ ด้ายย ปิ่นอนงค์จัดให้
จบ แยก นอน
ง่วงอย่างแรงเพราะแต่งทั้งคืน 55555 ผลจากคอมเม้นแรก ขอบคุณสำหรับกำลังใจน้าา
พูดถึงพระเอกของเรานี่ก็ร้ายไม่ใช่เล่นนะคะ พูดนิ่มๆแต่แสบไปถึงทรวงเลย แอบสงสารนางเอก จะให้นางขายหน้าอะไรขนาดน้าน อิอิ รู้สึกตัวเองใจร้ายนิดๆ หะ หะ
ลืมไป ขออวดนิดนึงนะ อิอิ หนูปิ่นเป๋อของเราติดTop กับเขาด้วยน้า
ขออภัยเรื่องคำผิด(ถ้ามี)นะคะ
ขอบคุณที่สนใจนิยายเรื่องนี้
ถ้าชอบแนะนำให้กดแฟบนะคะ ป้องกันนิยายในบุคมาร์คหายในอนาคตถ้ามีการโหลดใหม่ ส่วนตัวถ้านิยายหายแล้วกลัวคนอ่านตามไม่เจอค่ะ ฮือ ฮือ
สุดท้ายหากมีอะไรเสนอแนะ ข้อติชม หรืออยากระบายด้วยความอัดอั้นตันใจ ก็แสดงความคิดเห็นเข้ามาคุยกันได้เลยค่ะ^_^
ฝากเพจ นิยายรัก อมยิ้มรสขม ด้วยนะคะ
และหากใครสนใจอ่านฉบับe-book ก็จิ้มตรงนี้เลยค่า
ความคิดเห็น